ประวัติ อ.หม่อม นิรนามไตรภูมิ NIRANAM TRIBUMI
เป็นเวลากว่าสิบปี แห่งการสร้างทานบารมี โดยการแจกพระเครื่อง-เครื่องรางของขลังฟรี ให้กับนายทหาร ตำรวจ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่ปฏิบัติการรักษาชาติ แผ่นดิน โดยไม่มีการพานิชย์เข้ามาเกี่ยวข้อง ของชายนิรนามผู้ไม่เคยเผยประวัติที่แท้จริง แต่เหล่าผู้ศรัทธา และลูกศิษย์ ต่างรู้จักและขนานนามว่า “อาจารย์หม่อม พุทธิโพธิสัตว์ นิรนาม ไตรภูมิ” หรือในสายนักปฏิบัติจะขนานนามว่า “อาจารย์ใหญ่ นิรนาม ไตรภูมิ” ชื่อนี้ที่บรรดาผู้คนต่างแซ่ซ้อง สรรเสริญ กล่าวขวัญถึงความศักดิ์สิทธิ์ และความเข้มขลัง
อาจารย์หม่อม นิรนามไตรภูมิ ย่อมบอกความเป็นตัวตนของท่านได้ดี ถ้าท่านอยากมีชื่อเสียง ท่านก็ควรจะแจ้งหรือประกาศชื่อเสียง ที่แท้จริงของท่าน ต่อสาธารณชนแล้ว แต่น้อยคนนักที่จะรู้จักชื่อจริง นามสกุลจริงของท่าน และด้วยคำจำกัดความของ “นิรนาม” ก็คือไม่มีชื่อเสียงเรียงนามอะไร สภาวะของผู้ที่ไม่ต้องการให้รู้เห็น ถึงความเป็นมา และหากแปลความหมายของคำว่า “นิรนาม” ในทางโลกอุตรธรรม คือการดับรูป ดับนาม เพื่อการดับภพ ดับชาติ ส่วน “ไตรภูมิ” หมายถึง สามโลกตามความเชื่อในพระพุทธศาสนาซึ่งประกอบไปด้วย สวรรค์ นรก และมนุษย์นั่นเป็นความหมายในโลกแบบง่ายๆ แต่สำหรับท่านอาจารย์ใหญ่แล้ว ความหมายของของคำว่าไตรภูมิคือ กุตรธรรม ที่ประกอบไปด้วย กามภูมิ รูปภูมิ และ อรูปภูมิ
ด้วยเพราะตำนานเรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ของท่านนั้นเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เกินบรรยาย ยังมีเรื่องราวเหนือธรรมชาติอีกมากมายที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ทางด้านวิทยาศาสตร์ นอกเสียจากท่านจะประจักษ์ด้วยสายตาเอง และได้รับประสบการณ์จริงจากการบูชา หรือได้ครอบครองวัตถุมงคลของท่านอาจารย์ใหญ่ นิรนามไตรภูมิ และทุกครั้งที่ท่านปลุกเสกวัตถุมงคลมักปรากฏลำแสง หรือแม้กระทั่งภาพถ่ายแปลกๆ จากกล้องที่ลูกศิษย์ถ่ายได้ ไม่ว่าจะเป็นดวงจิตของเทพเทวดา ภาพฤาษี ภาพพระโพธิสัตว์ หรือพญานาคในท่ามกลางเปลวเทียนหรือแสงที่ปรากฏท่ามกลางวัตถุมงคล ฯลฯ ในขณะที่ท่านกำลังเชื่อมต่อฌานบารมี เป็นสิ่งยืนยันถึงพลังงานบารมี ที่แก่กล้าของท่าน กับคำถามที่ว่าทำไมเกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติมากมายเหล่านี้ทุกครั้งที่ท่านอาจารย์ใหญ่ นิรนาม ทำพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลจนเป็นปรากฏการณ์ปรกติสำหรับลูกศิษย์ใกล้ชิดที่ติดตามท่านอาจารย์ใหญ่ นิรนาม มาโดยตลอด ในการจัดพิธีพุทธาภิเษกของท่านอาจารย์ใหญ่ นิรนามไตรภูมิ ท่านได้นิมนต์ พระอริยะสงฆ์ พระเกจิอาจารย์ ผู้ทรงอภิญญาสายปฏิบัติกรรมฐาน ที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วฟ้าเมืองไทย เข้าพิธีอธิฐานจิตร่วมกัน อาทิ หลวงปู่พระครูโกวิทพัฒโนดม (หลวงปู่เกลี้ยง เตชฺธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดโนนแกด จ.ศรีสะเกษ หลวงปู่ละมัย ฐิตมโน เจ้าสำนักสงฆ์สวนป่าสมุนไพร จ.เพชรบูรณ์ หลวงปู่จันทร์หอม สุภาธโร วัดบุ่งขี้เหล็ก จ.อุบลราชธานี พระอาจารย์แดง โอภาโส วัดไร่ จ.ปัตตานี พระอาจารย์ประสูติ ปิยธัมโม (หลวงพ่อประสูติ) วัดในเตา จ.ตรัง และอีกมากมายหลายท่านเข้าร่วมพิธี โดยปกติคนทั่วไปมักได้ยินคำว่า “พุทธาภิเษก” ซึ่งความหมายก็คือการปลุกเสกพระพุทธ หรือการปลุกเสกพระพุทธเจ้า ท่านอาจารย์ใหญ่ กล่าวว่า ไม่มี ใครปลุกเสกพระพุทธเจ้าได้หรอก พระพุทธเจ้าเป็นสิ่งเคารพสูงสุด เหนือสามโลก คือโลกสวรรค์ โลกมนุษย์ และยมโลก ท่านอาจารย์ใหญ่ นิรนามไตรภูมิ จึงต้องอัญเชิญบารมีของพระพุทธเจ้า บารมีของพระโพธิสัตว์ทุกๆ พระองค์ บารมีของพระปัจเจกพระพุทธเจ้า เทพพรหมเทวดาทุกเหล่าชั้น เชื่อมสภาวะเหล่านั้นกับจิตให้เป็นหนึ่งเดียว ก็จะเกิดเป็นพลังงานมหาศาล เป็นพลังงานของจักรวาล ทำให้วัตถุมงคลที่เป็นดิน เป็นหิน เป็นโลหะ กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีพลังงานก็เปรียบเทียบง่ายๆ วัตถุมงคลที่เป็นตัวเก็บพลังงาน เหมือนแบตเตอรี่ ที่สามารถเก็บพลังงานไฟเอาไว้แล้วแจกจ่ายกระแสไฟออกมา เช่นเดียวกับเครื่องรางของขลัง วัตถุมงคลของท่านก็จะปล่อยพลังงานออกมา เวลาที่คนอธิฐานหรือการเพ่งจิตน้อมนำจิตเชื่อมกับวัตถุมงคลนั้นๆ ทำให้เกิดอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ตามแรงอธิฐาน
ภาระกิจที่ท่านอาจาร์ยใหญ่ นิรนามไตรภูมิ ได้มาปฏิบัติคือความเชื่อมต่อวางแนวทางเปลี่ยนถ่ายยุคพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันกับยุคของพระศรีอริยะเมตไตรย จึงเป็นที่มาของการจัดสร้างวัตถุมงคลมากมายหลายล้านชิ้นด้วยทุนทรัพย์ส่วนตัว นับร้อยล้านบาท เพื่อแจกฟรีแก่ทหาร ตำรวจ บุคคลทั่วไปโดยไม่ประมาณ เพื่อสืบสานศาสนา รักษาชาติ พระมหากษัตริย์ และแผ่นดินโดยไม่มีการเปิดเผยตัวผู้สร้าง เพื่อไม่ให้คนยึดติดในตัวท่าน แต่ให้มีความเคารพศรัทธาในอำนาจของพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เป็นพุทธธานุสติ ธรรมมานุสติ และสังฆานุสติ เชื่อมต่อสันติภาพของมนุษย์ สื่อสานพระศาสนาให้ดำรงอยู่ ครบ 5,000 ปี จนถึงยุคพระศรีอริยะเมตไตรย
การสร้างบารมีของท่านนับภพ นับชาติไม่ถ้วนแม้ท่านจะกล่าวว่า “บารมีที่ท่านได้สร้างมาหลายภพ หลายชาติจนเต็ม” แต่ภพชาติปัจจุบันท่านก็ยังสร้างไม่หยุดโดยเฉพาะ วัตถุมงคลมากมายหลายล้านชิ้นที่ใช้ทุนทรัพย์ของท่านเอง สร้างเพื่อแจกฟรีเป็นธรรมทาน โดยไม่มีการพาณิชย์แต่อย่างใด เจตนาของท่านในวันนี้ท่านมักจะบอกเสมอว่าท่านมีอะไรมากมายพร้อมแล้วดังนั้นสิ่งที่ท่านต้องการทำคือ การทำให้ชาติให้แผ่นดินโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ หากใครเคยสัมผัสท่าน จะรู้ว่าท่านมีแต่ให้ ไปไหนก็ไม่เคยรับของใคร ท่านมักพูดอยู่เสมอว่า ท่านยินดีเป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้รับ ไม่ว่าของนั้นจะมีค่าปานใดในสายตา ทุกสิ่งย่อมเสมอเหมือนกันหมด
วัตถุมงคลที่ท่านจัดสร้างขี้นเต็มไปด้วยความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ และเป็นการออกแบบที่มีการผสมผสานของพุทธศิลป์ เทวะศิลป์ อักษร เลขยันต์ สัญลักษณ์ต่างๆ รวมทั้งภาษาเทพ ภาษาธรรม และภาษาจักรวาล ได้ถูกถ่ายทอดผ่านพระเครื่อง-เครื่องรางไว้เพื่อเป็นสรรพวิชาของจักรวาล ท่านได้กล่าวไว้ว่า ท่านได้ทำการบำเพ็ญเพียรมาหลายภพ หลายชาติ ทำให้เกิดตัวรู้ถึงสรรพวิชาแขนงต่างๆ โดยไม่ต้องเรียนจากครูบาอาจารย์องค์ใด เวลากำหนดจิตเมื่อเชื่อมสภาวะจิต ระหว่างพระเวทย์กับพระธรรมก็จะเกิดตัวรู้ ซึ่งเกิดมาจากบารมีเดิมที่สะสมมาจากอดีตชาติผุดขึ้นมาในจิต เป็นสภาวะจิตนึกอยากรู้เรื่องของพระเวทย์เกี่ยวกับอักขระ อักขระก็จะผุดขึ้นมาเป็นภาษาโบราณ ทั้งบาลี สันสกฤต เทวนาครี กูโบ๊ต และอีกมากมายหลายภาษา และยังเต็มไปด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ และบุญฤทธิ์ ของผู้จัดสร้างซึ่งมีจิตเจตนาอันบริสุทธิ์ และอำนาจของพระกรรมฐาน อำนาจจากเหล่าเทพพรหมเทวดาอำนาจจากสิ่งศักดิ์ทั้งไตรภูมิ ซึ่งผู้นำไปเคารพศรัทธาก็จะเกิดอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์คุ้มครองปกปักรักษาชีวิต บันดาลให้เกิดโชคลาภ ร่ำรวย เจริญในหน้าที่การงาน พบความสำเร็จ ขจัดภัย ปัญหาอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวง
ท่านอาจารย์ใหญ่ นิรนาม ท่านได้กล่าวไว้เสมอว่าผู้มีศรัทธาในวัตถุมงคลของท่านขอให้ปฏิบัติตนอยู่ในศีลในธรรม ธรรมะซื้อขายไม่ได้ อิทธิฤทธิ์ซื้อขายไม่ได้ ทุกอย่างเป็นอนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา ให้ทุกคนเชื่อด้วยเหตุ เชื่อด้วยผล เชื่อด้วยหลักของความเป็นจริง เมื่อนำไปปฏิบัติจริง ก็จะได้ผลที่แท้จริงออกมาเสมือนหนึ่งผู้ที่บรรลุในธรรมชั้นสูง เสมือนเหล่าโพธิสัตว์ทั้งหลาย เสมือนหนึ่งพระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย ทั้งปวง และผู้เป็นศาสดาของทุกศาสนา รวมทั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าสู่พระนิพพานอันสูงสุด และท่านยังสอนให้มั่นสร้างบุญ สร้างทาน เพราะวัตถุมงคลใดๆ ก็ตามในโลกนี้ที่มีฤทธิ์ มีพลังงานแต่หากผู้ครอบครองอยู่ในช่วงมีวิบากกรรมมาถึงในขณะนั้น วัตถุมงคลนั้นๆ ก็ไม่สามารถช่วยเหลือได้ “อิทธิฤิทธิ์ แพ้ บุญฤฺิทธิ์ บุญฤฺิทธิ์ แพ้ กรรมฤฺิทธิ์” นั่นก็คือไม่มีใครเหนือกฎแห่งกรรมไปได้ ไม่ช้าก็เร็วที่จะต้องพบกับกฎแห่งกรรม กรรมไม่สามารถแก้ได้ ทำได้เพียงแค่ผลัก หรือ ชะลอ ได้เท่านั้น ผลักหรือชะลอกรรมด้วยการสร้างบุญกุศล เช่นการให้ทาน ศีล ภาวนา ก็จะสามารถผลักหรือชะลอกรรมนั้นๆ ได้ชั่วขณะ ฉะนั้นการสร้างบุญต้องทำให้ต่อเนื่อง ทำด้วยความพร้อม คือจิตมีความตั้งใจ ได้ทำแล้วเกิดปิติสุข นี่คือการทำบุญที่แท้จริง บุญไม่ใช่อยู่ที่ทำมากหรือน้อย ทำมากก็ได้มาก ทำน้อยก็ได้น้อย แต่ถ้าทำบ่อยๆ ไม่ช้าก็เต็ม